2 ภาคเอกชนร่วมมือแก้ปัญหาป่าไม้ “น่าน”
เมื่อ “เสี่ยปั้น” คุณบัณฑูร ล่ำซำ ประธานกรรมการ และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) และ “เจ้าสัวน้อย” คุณศุภชัย เจียรวนนท์ กรรมการบริหารเครือเจริญโภคภัณฑ์ และกรรมการผู้จัดการใหญ่ และประธานคณะผู้บริหาร บมจ.ทรู คอร์ปอเรชั่น ได้ร่วมมือกันในการอนุรักษ์ป่ากับ “งานคืนผืนป่า หนึ่งในความเพียรพยายามรักษ์ป่าน่าน”
สาระ สำคัญของงานดังกล่าว นอกจากภาคเอกชนทั้งสองส่วนแล้ว ยังร่วมด้วยกับคุณอุกริช พึ่งโสภา ผู้ว่าราชการจังหวัดน่าน ประชาชน และนักเรียนนักศึกษา ร่วมกันปลูกต้นไม้ในเนื้อที่ 300 ไร่ ที่ชาวบ้านคืนให้กับทางราชการหลังจากบุกรุกที่ดินป่าสงวนฯ เพื่อทำกินมาเป็นเวลานานแล้ว
โดย ทางซีพีจะสนับสนุนเกษตรกรที่อยู่ในโครงการนี้ในหลากหลายรูปแบบ อาทิ ปลูกพืชอื่นหรือเลี้ยงสัตว์อื่นทดแทน เลิกปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์
Q : ทำไมซีพีถึงมาร่วมกิจกรรมดังกล่าว…
หาก ใครติดตามข่าวคราวภูเขาเมืองน่านกลายเป็นเขาหัวโล้นด้วยการถางป่าทำไร่ข้าว โพดมานานหลายสิบปีก็คงพอจะเดาอะไรต่ออะไรได้บ้าง ซึ่งแม้จะมีหลายบริษัทที่เข้าไปสนับสนุนหรือรับซื้อข้าวโพดเลี้ยงสัตว์จาก เกษตรกรเหล่านี้ แต่ผู้คนในสังคมโดยเฉพาะชาวน่านต่างมุ่งตรงไปที่ซีพี เรียกว่าเป็นผู้ถูกกล่าวหาหมายเลข 1 เลยทีเดียว
ฉะนั้น เมื่อเสี่ยปั้นมาเป็นโต้โผใหญ่ในการฟื้นฟูดูแลป่าต้นน้ำเมืองน่านอย่างจริง จัง เพราะทนไม่ได้ที่จะเห็นพื้นที่ป่าต้นน้ำถูกทำลายปีละนับแสนไร่อีกต่อไป จึงได้ใช้กำลังภายนอกและภายในชักชวนให้เครือเจริญโภคภัณฑ์เข้ามามีส่วนรับ ผิดชอบในฐานะที่เป็นกลไกอันหนึ่งที่ทำให้เกิดสภาพเขาหัวโล้นด้วย
งาน นี้ถ้าไม่ใช่เจ้าสัวบัณฑูรออกโรงเอง คงยากที่จะดึงซีพีเข้ามาร่วมด้วย พูดได้ว่าเป็นเพราะบารมีของซีอีโอธนาคารกสิกรไทยโดยแท้ บวกกับความรับผิดชอบต่อสังคมของค่ายซีพี ซึ่งประกาศเจตนารมณ์ต่อสาธารณชนมาตลอดว่าจะร่วมสร้างสรรค์สังคมไทย
“ครั้ง นี้จึงเป็นอีกบทพิสูจน์อีกบทหนึ่ง ที่ทางซีพีจะต้องลงมือทำอย่างจริงจัง และต่อเนื่องเพื่อภาพพจน์ที่ยั่งยืน ซึ่งทางซีพีก็มีศักยภาพ มีทรัพยากรที่จะช่วยสังคม
อย่าง น้อยคุณธนินท์ก็ถามผมว่าเรื่องนี้ควรจะทำอย่างไร ผมบอกว่าให้ส่งศุภชัยมา แล้วผมพาลงไปดูประเมินสถานการณ์ว่าเป็นอย่างนี้ ยูก็ต้องมีส่วนมาช่วยเพราะยูถูกมองว่ายูไปทำให้เขาเสียใช่ไหม เท็จจริงยังไงสังคมเขามองอย่างนี้ ยูจะต้องแก้ อย่างน้อยเขาก็ฟัง ไม่ใช่มาเถียง ไม่ได้ทำมากมาย มันไม่มีใครได้ยิน ค่อยๆ เริ่มอย่างนี้ถูกต้องแล้ว”
คำ บอกเล่าดังกล่าวชี้ชัดว่าเรื่องนี้เจ้าสัวธนินท์เห็นความสำคัญอย่างจริงจัง และไม่ใช่พูดเฉยๆ แต่ส่งลูกชายหัวแก้วหัวแหวนมาลงลุยเอง พร้อมกับงบประมาณก้อนโตที่พาสื่อมวลชนเข้าไปทำข่าวในพื้นที่
ว่า ไปแล้ว แม้งานดังกล่าวเสี่ยปั้นจะเป็นพระเอก แต่เมื่อนักข่าวปะหน้าทายาทคนสำคัญเจ้าสัวธนินท์ ก็ต้องไปโฟกัสที่หนุ่มใหญ่รายนี้ด้วย เพราะดูเหมือนเครือซีพีจะต้องตอบคำถามสังคมให้เคลียร์ในหลายๆ ประเด็น หลังจากที่ปีสองปีนี้ เครือซีพีเจอมรสุมหลายลูกกระหน่ำ จนบางครั้งบางคราวตั้งรับแทบไม่ทัน
Q : ที่ผ่านมาซีพีโดนปัญหาภาพพจน์เสียหายในหลายเรื่อง รู้สึกกังวลหรือไม่อย่างไร
คุณ ศุภชัยตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบปกติว่า “ถ้าดูตามประวัติของซีพีโดนเป็นระยะๆ บางอย่างสิ่งที่เราต้องปรับปรุงก็มี สิ่งที่เราต้องอธิบายทำความเข้าใจก็มี ต้องถือว่าเป็นเรื่องปกติ ถามว่าซีเรียสไหม เราก็ต้องจัดการให้มันถูกต้อง แต่คงต้องบอกว่า มันไม่มีเรื่องอะไรที่เราสบายๆ”
Q : เจ้าสัวธนินทน์ให้นโยบายอะไรเป็นพิเศษหรือเปล่า
คุณ ศุภชัยแจงว่า “ท่านก็พูดชัดท่านบอกว่า เรื่องความยั่งยืนอยู่ในคุณค่าขององค์กรอยู่แล้วในเรื่อง 3 ประโยชน์ คือ ประเทศชาติต้องมาก่อน ประชาชนในประเทศ แล้วถึงจะมาบริษัท ฉะนั้น อะไรที่มันพลิกอีกทาง เราจะไม่ทำเด็ดขาด แม้สมมุติว่าเราทำอะไรที่เป็นธุรกิจที่ทำให้เกิดความเสียหาย เราเลิกทำดีกว่า นโยบายเป็นอย่างนั้นเลย”
Q : การที่ได้รับแต่งตั้งเป็นกรรมการบริหาร เครือเจริญโภคภัณฑ์ แสดงว่าทางครอบครัวอยากให้เข้ามาดูแลภาพใหญ่ของเครือด้วย แทนที่จะดูบริษัททรูฯ แห่งเดียว
คุณ ศุภชัยตอบทันควันด้วยน้ำเสียงแสดงความมั่นอกมั่นใจว่า “ครับ เป็นเรื่องที่ได้รับมอบหมาย และเราก็ชอบทำ (หัวเราะ) ชอบ อยากทำ เพราะผมมีความคิดว่าเครือทำประโยชน์ให้ประเทศก็เยอะ แต่จะทำได้เยอะกว่านี้อีก และถ้าผมมาทำตรงนี้ เราอาจจะทำให้ประโยชน์ให้กับประเทศได้มากขึ้นไปอีก รวมทั้งชุมชนด้วย จะเป็นสิ่งที่วิน-วิน เป็นบวก-บวก ตอนนี้ผมเป็นกรรมการบริหารของเครือเจริญโภคภัณฑ์ด้วย และถูกมอบหมายให้ดูเรื่องความยั่งยืนขององค์กร (sustainability) ผมคิดว่าเครือเองมีส่วนที่จะทำประโยชน์กับส่วนรวมได้อีกเยอะ”
“มี ปัญหาก็ต้องแก้ไข มันเป็นเรื่องปกติของการดำเนินงาน แต่ถ้าเราไม่เรียนรู้ ไม่ปรับปรุง ไม่แก้ไข อันนี้จะเป็นปัญหาจริง” นั่นคือคำตอบจากศุภชัย
ที่มา : “ประชาชาติธุรกิจ” http://www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1442928414
พออ่านข่าวนี้จบ เราชอบคำพูดของคุณศุภชัยมาก เหมือนกับคำพูดของพณ. ท่านธีโอดอร์ รูสเวลต์ ประธานาธิบดีคนที่ 26 ของสหรัฐอเมริกาเลย
สังคมปัจจุบันเปลี่ยนไปจากอดีตมาก เอาแต่วิพากษณ์วิจารณ์คนอื่นมากขึ้น แต่ตัวเองกลับลงมือทำน้อยลง
สำหรับ เราเห็นว่า เมื่อภาคเอกชนเข้ามามีส่วนร่วมกับชาวบ้านในพื้นที่มากขึ้น ให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อม และความยั่งยืนมากขึ้น ธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อมของจังหวัดน่านก็จะค่อยๆ มีการปรับตัว แผ่ขยายไปมีผลกับจังหวัดอื่นๆ ใกล้เคียง ทำให้คนในพื้นที่ต่างๆ ให้ความสำคัญกับป่าไม้มากขึ้น เมื่อนั้นธรรมชาติ ป่าไม้ สัตว์ป่า และความอุดมสมบูรณ์ของประเทศไทยก็จะกลับมาดังอดีต
แต่ ในปัจจุบันกลับมีพวกชอบฉุดให้ประเทศไม่เดินหน้า แถมคนกลุ่มนี้ยังทำให้ประเทศต้องเดินถอยหลังด้วยซ้ำ หวังว่าความพยายามของภาคเอกชนในครั้งนี้ จะช่วยทำให้ประเทศชาติถูกขับเคลื่อนในด้านธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อมกันมากขึ้น จนทำให้รัฐบาลชุดต่างๆ ที่จะเข้ามาบริหารประเทศให้ความสำคัญ และจัดสรรงบประมาณไปดูแลรื่องสิ่งแวดล้อมในชาติมากขึ้น แทนที่จะไปขับเคลื่อนแต่ภาคเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศเพียงอย่างเดียว
เครดิต จาก http://pantip.com/topic/34217361
http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=kasetbe-easy&month=09-2015&date=23&group=1&gblog=56